มาตรฐาน API ถือเป็นมาตรฐานหลักที่ใช้แสดงถึงคุณภาพของน้ำมันเครื่องในประเทศไทย เพราะเป็นมาตรฐานที่กระทรวงพลังงานใช้ในการอ้างอิงในการพิจารณาอนุญาตให้น้ำมันเครื่องนั้น ๆ สามารถจัดจำหน่ายในประเทศไทยได้ โดยสำหรับเครื่องยนต์เบนซิน มาตรฐาน API แสดงเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษ 2 ตัว ตัวแรก คือ S และตัวที่ 2 จะไล่มาตั้งแต่ A เมื่อมีการพัฒนามาตรฐานใหม่ก็จะขยับเป็น B, C, … ไปเรื่อย ๆ
และมาตรฐาน API ใหม่ล่าสุดได้มีการประกาศใช้ในเดือนพฤษภาคม ปี 2563 นั่นก็คือ “API SP” ซึ่งมีการพัฒนาคุณสมบัติของน้ำมันเครื่องให้สูงขึ้นกว่ามาตรฐานก่อนหน้าคือ API SN (มาตรฐานที่ใช้มาอย่างยาวนานตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 2553) และ API SN Plus (ประกาศใช้ในเดือนพฤษภาคม ปี 2561)
เนื่องจากในปัจจุบันเทคโนโลยีของเครื่องยนต์เบนซินถูกพัฒนาไปอย่างมาก ทั้งการลดขนาดเครื่องยนต์ให้เล็กลง การใช้ระบบฉีดตรง (Direct Injection) การเพิ่มระบบอัดอากาศ (Turbocharger) รวมไปถึงระบบการกรองอนุภาคไอเสีย ทำให้น้ำมันเครื่องที่เป็นปัจจัยสำคัญในการดูแลและปกป้องเครื่องยนต์ต้องมีการพัฒนาคุณสมบัติให้สามารถรองรับเทคโนโลยีเครื่องยนต์เหล่านี้ และมาตรฐานที่ถูกพัฒนาขึ้นมาล่าสุดนั่นก็คือ API SP นั่นเอง
API SP มีอะไรใหม่
ในที่นี่ ขอเปรียบเทียบคุณสมบัติส่วนที่ API SP มีพัฒนาขึ้นมาจาก API SN เพราะในบ้านเรามาตรฐานล่าสุดที่ใช้กันเป็นส่วนใหญ่คือ API SN
- ลดปัญหาการชิงจุดระเบิดในรอบความเร็วต่ำ (Low Speed Pre-Ignition; LSPI) ซึ่งจะเกิดขึ้นในเครื่องยนต์เบนซินแบบฉีดตรง (Gasoline Direct Injection) โดยการเกิด LSPI นี้จะสร้างความเสียหายให้กับลูกสูบ วาล์ว และปะเก็นอย่างมาก
- เพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันการสึกหรอ
- เพิ่มความสามารถในการช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง
- ช่วยลดการสะสมของเขม่าคาร์บอนที่เกิดจากการจุดระเบิด
- ช่วยป้องกันการเกิดและสะสมของตะกอนในน้ำมันเครื่อง
- ช่วยลดการเกิดการออกซิเดชันซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่ทำให้น้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพ
มาตรฐาน API SP เหมาะกับรถแบบใด
สำหรับรถเบนซินที่เครื่องยนต์เป็นระบบฉีดตรง (GDI) แนะนำอย่างยิ่งให้เลือกใช้น้ำมันเครื่องที่ผ่านมาตรฐาน API SP หรือ API SN Plus ส่วนรถเบนซินรอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ระบบฉีดตรงก็สามารถใช้น้ำมันเครื่องที่ได้มาตรฐาน API SP เช่นกัน